วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

อีโคคาร์

ไม่ได้เชียร์นะครับ แต่เห็นว่าราคาที่เปิดตัวมาพอใช้ได้เลย ใครที่คิดว่าจะซื้อรถให้ลูกสักคัน ผมว่าลองไปดูนะครับ ส่วนถ้าใครสนใจ เชพโลเลต ทุกรุ่น อยากมีส่วนลดหลายๆหมื่นบาท ติดต่อส่วนตัวได้ครับ

ข่าวในประเทศ - นับถอยหลังอีกเพียงกว่า 3 เดือน สิทธิประโยชน์ให้กับ "อีโคคาร์" จะเริ่มมีผลเป็นทางการ แต่เมื่อสำรวจความพร้อมของค่ายรถกลับเงียบสนิท แม้แต่ "ฮอนด้า" ที่ประกาศตัวพร้อมสุด และจะเปิดตัวรถได้ในปลายปี 2552-2553 ก็เกิดอาการคล้ายโรคเลื่อน ถึงจะยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ก็ยอมรับจะไม่ใช่ค่ายแรกแน่นอน เช่นเดียวกับยี่ห้ออื่นๆ ที่มีแผนผลิตในปี 2553 ต่างเลื่อนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น "ซูซูกิ-ทาทา" ยิ่งไม่ต้องพูดถึง "โตโยต้า-มิตซูบิชิ" ที่มีความพร้อมน้อยที่สุด งานนี้นอกจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจโลก จนเป็นช่องให้เกือบทั้งหมดจับมือเตรียมเจรจากับรัฐบาล ขอลดเงื่อนไขการลงทุน 2 ประเด็น คือ กำลังการผลิต 1 แสนคัน ในปีที่ 5 เป็นต้นไป และเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท รวมถึงเปลี่ยนจากตั้งโรงงานใหม่ เป็นเพียงลงทุนเครื่องจักรใหม่เท่านั้น โดยต่างจะรอการเจรจาก่อน จึงจะกลับมาดูแผนผลิตอีโคคาร์อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขึ้นไลน์ผลิตในปี 2554 โน้น ส่วนค่าย "นิสสัน" จะเดินหน้าลุยเดี่ยว เปิดตัวทำตลาดแน่ในปี 2553 เพราะเป็นนโยบายบริษัทแม่ ที่ย้ายฐานการผลิตรถเล็กจากญี่ปุ่นมาไทยอยู่แล้ว ฉะนั้นผลการเจรจาเป็นอย่างไร นิสสันมีแต่ได้อย่างเดียว



นิสสัน มาร์ช


1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป จะเริ่มให้สิทธิประโยชน์รถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ "อีโคคาร์" ซึ่งมีบริษัทรถยนต์ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 6 รายได้ ได้แก่ ฮอนด้า, นิสสัน, ซูซูกิ, ทาทา, มิตซูบิชิ และโตโยต้า รวมมูลค่าลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานของแต่ละยี่ห้อ ปลายปีนี้น่าจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักของอีโคคาร์ หรืออาจจะถึงกับมีการเผยโฉมให้เห็นกันบ้างแล้ว ก่อนลุยตลาดแย่งชิงยอดขายกันอย่างดุเดือดในปี 2553 เป็นต้นไป





แน่นอนจากข่าวคราวก่อนหน้านี้ "ฮอนด้า" ถือว่าเป็นค่ายที่มีความพร้อมมากที่สุด จากนโยบายใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดโครงการอีโคคาร์ในไทย จึงเข้าทางฮอนด้าแบบเต็มๆ จึงไม่แปลกที่ฮอนด้าจะยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเป็นรายแรก ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 6,700 ล้านบาท และงานนี้ผู้บริหารของเอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ถึงกับประกาศว่าจะผลิตรถออกมาในช่วงปี 2552-2553

หากดูเวลา ณ ช่วงนั้น นั่นก็หมายความว่า... ฮอนด้าจะเป็นรายแรก ที่ผลิตรถอีโคคาร์ออกมา!

ส่วนค่ายอื่นๆ ที่ประกาศพร้อมลุย ไม่ว่าจะเป็น "ซูซูกิ" ซึ่งได้ตกลงซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์อีโคคาร์ มูลค่าลงทั้งหมด 9,500 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะเริ่มผลิตในปี 2553 เช่นเดียวกับ "นิสสัน" และ "ทาทา" ขณะที่โตโยต้าและมิตซูบิชิน่าจะเป็นปีถัดไปประมาณปี 2554-2555





แต่ในความเป็นจริง ณ วันนี้ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงกว่า 3 เดือน ที่จะเริ่มให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับรถยนต์อีโคคาร์ กลับแทบจะไม่มีข่าวคราวความคืบหน้าดังกล่าวเลย ยกเว้นค่าย "นิสสัน" ที่ชัดเจนว่า... จะเปิดตัวอีโคคาร์สู่ตลาดในปี 2553 นี้

"ฮอนด้ายืนยันว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามแผน แต่ยังไม่สามารถบอกกำหนดเปิดตัวแน่นอนได้ ส่วนการเปิดตัวสู่ตลาดเป็นรายแรกคงไม่ใช่ และก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญด้วย เพราะอยู่ที่ว่าสินค้าใครจะถูกใจลูกค้ามากกว่า และฮอนด้ามีความมั่นใจสินค้าจะสามารถตอบสนองลูกค้าได้"





นั่นคือให้การสัมภาษณ์สื่อมวลชนล่าสุดของ "อาซึชิ ฟูจิโมโตะ" ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ชัดเจนว่า... ฮอนด้าจะไม่ใช่รายแรกที่เปิดตัวอีโคคาร์สู่ตลาด และแม้จะยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่จากกระแสข่าวที่ออกมา โครงการอีโคคาร์ของฮอนด้าน่าจะเลื่อนไปเป็นปี 2554

ส่วนค่ายที่เคยประกาศความพร้อมอย่างซูซูกิ ได้มีรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์นิเคอิ ถึงการเลื่อนแผนการสร้างโรงงานในไทย และเรื่องนี้ "สิทธิศักดิ์ เกสรวิบูลย์" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า...

"การเลื่อนแผนตั้งโรงงานในไทย เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัวลง แต่ซูซูกิไม่ได้ยกเลิกโครงอีโคคาร์ในไทย เพราะบริษัทแม่มีความต้องการลงทุนในไทย โดยได้จัดซื้อที่ดินรองรับไว้แล้ว หากเป็นไปตามแผนขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนก่อสร้างโรงงาน เพียงแต่สถานการณ์ต่างๆ ไม่เอื้ออำนวย จึงต้องชะลอแผนไปก่อน"





เมื่อเป็นเช่นนี้อีโคคาร์ของซูซูกิน่าจะเปิดตัวได้ในปี 2554 เป็นอย่างเร็ว เช่นเดียวกับค่าย "ทาทา" ที่เดิมกำหนดจะขึ้นไลน์ผลิตในช่วงปลายปี 2553 แต่จากข่าวคราวล่าสุดก็เลื่อนออกไปในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ส่วนโตโยต้าและมิตซูบิชิที่ไม่ได้มีความพร้อมในโครงการอีโคคาร์มากที่สุด แน่นอนการที่คู่แข่งเลื่อนแผนเปิดตัวออกไปจึงเป็นผลดีกับทั้งสองยี่ห้อ มากกว่า

การเลื่อนเปิดตัวอีโคคาร์ของค่ายรถเกือบทั้งหมด สิ่งที่อ้างได้มาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จนทำให้ตลาดรถยนต์หดตัวลงอย่างมาก จึงเป็นจังหวะไม่เหมาะสมที่จะลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และที่สำคัญเงื่อนไขการลงทุนของอีโคคาร์ นับว่าเป็นอุปสรรคอย่างมากในการลงทุนสภาวะเช่นนี้

"สภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ จนส่งผลกระทบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรถยนต์ที่ยอดขายและส่งออกตกลงมาก ทำให้บริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนผลิตอีโคคาร์ชะลอแผนออกไป เพราะจะเป็นความเสี่ยงมากหากจะลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ในสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และอาจจะส่งผลต่อการดำเนินในอนาคตได้"

เป็นคำกล่าวของแหล่งข่าวจากหนึ่งในบริษัท ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนโครงการอีโคคาร์จากบีโอไอ และเดิมมีแผนจะเปิดตัวรถสู่ตลาดในปี 2553 เช่นกัน พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยกับ "ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง" ว่า... "ปัญหา สำคัญอีกอย่างที่เรามองเห็นในทิศทางเดียวกัน คือ เงื่อนไขการลงทุนในการรับสิทธิประโยชน์ของโครงการอีโคคาร์ ไม่เอื้ออำนวยกับสภาวะปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของการผลิตรถยนต์ 1 แสนคันขึ้นไปในปีที่ 5 และมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท"

"เหตุนี้จึงมีการคุยกัน ว่า จะเข้าไปคุยกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอปรับเงื่อนไขการลงทุนดังกล่าวลง เพราะสภาวะเช่นนี้การผลิตรถยนต์โมเดลหนึ่งให้ได้ 1 แสนคันเป็นเรื่องยากมาก และปัจจุบันบริษัทรถยนต์เกือบทั้งหมดล้วนประสบปัญหาสภาพคล่อง เงินลงทุนในการตั้งโรงงานใหม่ จึงเป็นปัญหาพอสมควร เหตุนี้ทางค่ายรถจึงต้องการลดวงเงินลงทุนลง และอาจจะไม่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ โดยนำเครื่องจักรใหม่มาตั้งในโรงงานที่มีปัจจุบันแทนจะได้หรือไม่"

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า... "นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ค่ายรถส่วนใหญ่เลื่อนแผนลงทุนและผลิตออกไปก่อน ส่วนที่ค่ายนิสสันยังสามารถดำเนินการตามแผนได้ เพราะเป็นนโยบายของบริษัทใหม่ นิสสัน มอเตอร์ ที่ได้มีการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กมาไทยอยู่แล้ว จึงต้องลงทุนและผลิตรถออกมาทำตลาดและส่งออก แทนโรงงานที่ญี่ปุ่น ดังนั้นไม่ว่าโครงการอีโคคาร์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นิสสันก็มีแต่เสมอตัวกับได้ประโยชน์เท่านั้น"

จากความเคลื่อนไหวทั้งหมด อีโคคาร์ของค่ายรถที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ ไม่น่าจะเกิดได้ในปี 2552-2553 นี้ ยกเว้น "นิสสัน" ค่ายเดียวที่ประกาศเดินหน้าตามแผนเช่นเดิม จากการเปิดเผยของ "โทรุ ฮาเซกาวา" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

"อีโคคาร์เป็นรถเล็กราคาประหยัด ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ในประเทศให้มีความคึกคัก ในส่วนของบริษัทยืนยันว่าจะมีรถทำตลาดในปีหน้า และจากนั้นจะมีหลายค่ายทยอยเปิดตัวทำตลาดซึ่งระยะเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คาดว่า ภายใน 3-4 ปี อีโคคาร์จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย และเป็นตลาดใหญ่ด้วยยอดขาย 1.0-1.5 แสน

ทั้งนี้จากรายงานข่าว นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงทุนในประเทศไทย เพื่อยกฐานะให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็ก "นิสสัน มาร์ช" (Nissan March) โมเดลใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 เพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น และอาเซียน โดยอีโคคาร์จะใช้พื้นฐานโครงสร้างตัวถังของมาร์ชในการพัฒนา ส่วนจะใช้ชื่ออะไรยังไม่ชัดเจนในขณะนี้

สำหรับจุดขายอีโคคาร์ของนิสสัน จะเน้นที่เรื่องของราคาประหยัด สมถรรนะเยี่ยม และมีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน โดยเครื่องยนต์จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งว่ากันว่ามีอัตราสิ้นเปลืองต่ำมาก อาจจะถึง 25 กิโลเมตรต่อลิตร ฉะนั้นอัตราสิ้นเปลือง 20 กิโลเมตรต่อลิตร ตามเงื่อนไขอีโคคาร์จึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ดังนั้นผู้ที่เฝ้ารอคอยอีโคคาร์ คงไม่ถึงกับเป็นแม่สายบัวรอเก้อ เพราะ ณ เวลานี้ยังมีอีโคคาร์"นิสสัน" ที่มาตามนัด ถึงจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่เปิดตัวนำร่องไปก่อนก็ตาม แต่หากใครยังยึดติดกับแบรนด์ หรือต้องการมีทางเลือกที่หลากหลาย คงต้องเก็บตังค์รอต่อไปจนถึงปี 2554 โน้น!

ข้อมูลข่าวจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์

1 ความคิดเห็น:

  1. รอถูกสลากกินแบ่งก่อนนะคะ สนใจส่วนลดหลายๆ หมื่นบาทเหมือนกัน ว่าแต่ขอซื้อทีละส่วนก่อนได้ไหมคะ แล้วค่อยเอามาประกอบเป็นคัน เผอิญตังค์ไม่พอ ....อิอิ....

    ตอบลบ