วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ร้อนนี้..มาดื่มเครื่องดื่มสมุนไพรคลายร้อนกัน

น้ำดื่มสมุนไพรช่วยคลายร้อน
--------------------------------------------------------------------------------

หลายคนบอกว่า ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนมากๆ จะไปไหนก็เจอแต่ไอแดดและไอร้อน แม้จะนั่งอยู่เฉยๆ ในบ้านก็ยังได้รับไอร้อน หลายๆ คนบอกว่าอากาศร้อนอย่างนี้ทำให้ไม่อยากรับประทานอะไรเลย นึกถึงแต่น้ำและน้ำแข็ง ที่จะมาช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลงได้บ้าง
เมื่อนึกอากาศร้อน หลายคนจะนึกถึงเครื่องดื่มนานาชนิดที่ทำให้ “ชื่นใจ” น้ำดื่มสมุนไพรหน้าร้อนจึงเหมาะต่ออากาศในยามนี้อย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยดับกระหายคลายร้อนแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายอย่าง

วันนี้จึงขอนำวิธีทำเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีคุณสมบัติข้างต้นมาฝากกัน บอกได้เลยว่าเป็นสมุนไพรที่หาง่าย ราคาถูก และวิธีทำก็ง่าย
น้ำกระเจี๊ยบ นอกจากจะช่วยแก้กระหายน้ำและทำให้สดชื่นแล้ว น้ำกระเจี๊ยบยังช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาระบายอ่อนๆ แถมยังช่วยลดไข้และแก้ไอได้อีกด้วย


น้ำกระเจี๊ยบมีส่วนผสมคือ กลีบดอกกระเจี๊ยบแดงสด หรือแห้ง (ใช้ได้ทั้งสองชนิด) น้ำเปล่า 5 ถ้วย เกลือป่นและน้ำตาลทรายแดงตามชอบใจ ส่วนวิธีทำนั้นก็แสนง่าย กล่าวคือ นำกลีบดอกกระเจี๊ยบมาล้างให้สะอาดแล้วใส่ลงในหม้อ ต้มไปเรื่อยๆ จนเนื้อกระเจี๊ยบนุ่ม จากนั้นให้กรองเอาเนื้อออก แล้วนำน้ำกระเจี๊ยบมาต้มไฟอ่อนๆ ต่อไป จากนั้นให้นำเกลือและน้ำตาลใส่ลงไปตามชอบใจ รอจนน้ำตาลละลายดีแล้วยกลงจากเตาไฟ ตักใส่ขวดแช่เย็นไว้ดื่มยามกระหาย

ปัจจุบันนี้ มีคนนิยมนำกลีบดอกกระเจี๊ยบแดงมาชงเป็นชาสมุนไพร โดนการหั่นหรือสับเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปตากแดดหรืออบให้แห้ง เก็บไว้ในกระป๋องที่ปิดฝาสนิท แล้วนำมาชงเหมือนการชงชาทั่วไป

น้ำเก็กฮวย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้สดชื่น ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะอากาศร้อน ส่วนผสมของน้ำเก็กฮวย มีดอกเก็กฮวยแห้ง 30 กรัม น้ำเปล่า 1 ลิตร และน้ำตาลทรายแดง วิธีทำก็คล้ายๆ กับน้ำกระเจี๊ยบ นำดอกเก็กฮวยแห้งมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วใส่หม้อต้มเคี่ยวประมาณ 5 นาที เติมน้ำตาลทรายแดงชิมรสตามชอบใจ แค่นี้ก็จะได้น้ำเก็กฮวยสีเหลืองอ่อนรสหวานเย็น หากต้องการให้น้ำสีเหลืองอ่องน่าดื่มยิ่งขึ้น ให้ใส่เมล็ดพุดจีนต้มเคียว แค่นี้ก็จะทำให้น้ำเก็กฮวยมีสีสันมากขึ้น

น้ำว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีและท้องไม่ผูก น้ำดื่มสมุนไพรชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนนอนดึกและอ่อนเพลีย
ส่วนผสมก็มี ใบว่านหางจระเข้ 2 ใบ น้ำต้มสุก 1 ถ้วย และน้ำเชื่อม วิธีทำก็ไม่ยาก นำใบว่านหางจระเข้ขนาดใหญ่และโตเต็มที่มาปอกเปลือกและล้างน้ำให้หมดยางสีเหลือง จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่น เติมด้วยน้ำสุก และปั่นให้ละเอียด นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมเล็กน้อย และนำมาใส่ขวดที่นึ่งแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น น้ำว่านหางจระเข้นี้ควรทำเก็บไว้ดื่มไม่เกิน 2 วัน

น้ำบัว เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้ ได้มาจากรากบัวต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณแก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน ขับเสมหะ และบำรุงกำลัง ส่วนผสมประกอบด้วย รากบัว 2 ถ้วย น้ำสะอาด 3 ถ้วย และน้ำตาลทรายแดงตามชอบ สามารถทำได้โดยนำรากบัวมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆ นำไปต้มกับน้ำแล้วเคี่ยวจนกระทั่งได้น้ำเป็นสีชมพู แล้วกรองเอากากออก คนที่ชอบหวานก็ให้เติมน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยลงไป จากนั้นนำไปตั้งไฟจนเดือด ชิมรสชาติตารมชอบใจ ตั้งทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำไปบรรจุขวดที่สะอาดและนึ่งเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาทีก่อนนำไปเก็บในตู้เย็นเพื่อใช้รับประทานเมื่อเกิดอาการร้อนใน หรือกระหายน้ำ

น้ำว่านกาบหอย ทำมาจากใบว่านกาบหอย ใช้ดื่มเพื่อแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และยังแก้ฟกช้ำภายในได้ด้วย ส่วนผสมก็มี ใบว่านกาบหอย 5-15 ใบ น้ำสะอาด 2 ถ้วยครึ่ง และน้ำตาลทราย นำใบว่านกาบหอยสดมาล้างให้สะอาด แล้วนำมาหั่นตามขวางเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นให้นำมาใส่ลงในหม้อน้ำเดือด ต้มให้เดือดประมาณ 3-7 นาที แล้วค่อยเติมน้ำตาลทรายลงไปตามชอบใจ แค่นี้ก็จะได้น้ำว่านกาบหอยสีชมพูอ่อน จากนั้นให้นำมากรองใส่ขวดที่นึ่งแล้ว ตั้งทิ้งไว้ประมาร 20-30 นาทีแล้วค่อยนำไปเก็บในตู้เย็นไว้ดื่ม

น้ำบัวบก เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดี ช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ เกือบทุกคนจะนึกถึงน้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรนี้ได้มาจากใบบัวบกสด มีสรรพคุญแก้เจ็บคอ กระหายน้ำ แก้ช้ำใน ทำให้สดชื่น และยังช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ด้วย ส่วนผสมก็มีใบบัวบกสด 2 ถ้วย น้ำสะอาด 2 ถ้วย และน้ำเชื่อม วิธีทำก็คือ นำใบบัวบกสดๆ ใหม่ มาล้างให้สะอาด แล้วนำไปสับหรือตำให้ละเอียด จากนั้นนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง สำหรับคนที่ชอบรสหวานก็ให้เติมน้ำเชื่อมลงไปนิดหน่อย แค่นี้ก็จะได้น้ำใบบัวบกสีเขียวใสน่ารับประทาน เวลารับประทานจะใส่น้ำแข็งลงไปนิดหน่อยก็จะช่วยให้สดชื่นมากยิ่งขึ้น

ส่วนผสมง่ายๆ วิธีทำง่ายๆ แถมยังใช้เวลาไม่มากและไม่ยุ่งยากอะไร แค่นี้ก็จะได้เครื่องดื่มสมุนไพรแก้กระหาย คลายร้อน ช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายที่พุ่งสูงในหน้าร้อนเช่นนี้ แถมยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆ ด้วย แต่สิ่งที่อยากเตือนไว้ก็คือ น้ำดื่มสมุนไพรเหล่านี้ไม่ควรทำเก็บไว้นานนัก หากแต่ควรทำดื่มเป็นครั้งๆ ซึ่งจะทำให้ได้ทั้งคุณค่าอาหาร และความหอมสดๆ ใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้นด้วย


ขอบคุณข้อมูลจาก บทความนี้มาจาก สมุนไพร-->สมุนไพรดอทคอม
http://www.samunpri.com
URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.samunpri.com/modules.php?name=News&file=article&sid=122

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของน้ำผึ้ง

คุณค่าสารพัดประโยชน์ของน้ำผึ้ง งานวิจัยพบว่าน้ำผึ้งแท้สามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดได้ดีกว่ายาแก้ไอที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ช่วยให้นอนหลับง่ายในเด็กที่ป่วยเป็นหลอดลมส่วนบนติดเชื้อ ซึ่งเป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท (The Pennsylvania State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับ งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการ ไอของน้ำผึ้งกับยาแก้ไอสามัญ dextromethorphan (DM) ที่อนุญาตให้จำหน่ายตามร้านขายยาและใช้กันมากที่สุด

อย่างไรก็ดี นักวิจัยกล่าวว่า น้ำผึ้งนั้นไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ และน้ำผึ้งที่ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท นี้ศึกษาเป็นน้ำผึ้งชนิดสีเข้มซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระด้วย และนักวิจัยระบุว่าเหตุที่น้ำผึ้งสามารถช่วยบรรเทาอาการไอได้นั้นก็เพราะว่า มันทำให้ลื่นคอและรู้สึกผ่อนคลายที่ลำคอ

ตอกย้ำให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า น้ำผึ้งสามารถลดการไอได้จริง สำหรับคนไทยอาจใช้น้ำผึ้งผสมน้ำมะนาวบรรเทาอาการไอ ในเรื่องการแก้ไอของน้ำผึ้ง นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพแนะนำให้

ผสมน้ำผึ้ง 3 - 4 ส่วนกับน้ำมะนาว 1 ส่วน ควรเคี่ยวน้ำผึ้งบนเตาไฟให้เดือดก่อน เมื่อปล่อยให้เย็นแล้วค่อยเติมน้ำมะนาวลงไป สามารถเก็บใส่ขวด แบ่งจิบแก้ไอได้บ่อย ๆ เหมาะสำหรับคนทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก และผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย นอกจากใช้แก้ไอแล้ว ยังให้พลังงานแก่ร่างกายแทนข้าวได้อีกด้วย และคุณหมอยังได้แนะไว้ว่า...

"น้ำผึ้งมีขายในท้องตลาดหลายยี่ห้อ เช่น น้ำผึ้งจากเกสรลำไย เกสรลิ้นจี่ ดอกทานตะวัน ดอกสาบเสือ เป็นต้น ในแต่ละชนิดสีสันแตกต่างกันไป ที่สำคัญพยายามหลีกเลี่ยงน้ำผึ้งปลอม หรือน้ำผึ้งที่ผสมน้ำตาลทราย เพราะน้ำผึ้งปลอมใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ได้"

สำหรับน้ำผึ้งผสม (น้ำ) มะนาวนี้ นอกจากจะแก้ไอได้แล้วบางคนยังนำมาพอกหน้าด้วย เขาบอกว่าจะทำให้ใบหน้าสดชื่น เปล่งปลั่ง นุ่มนวล ผ่องใส...แต่ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้นะ เพราะหากเป็นน้ำผึ้งปลอมที่เพียงแต่เปิดฝาขวดออกมา มีกลิ่นน้ำอ้อยโชยมาแตะจมูกละก็...มิใช่น้ำผึ้งแท้อย่างแน่นอน

น้ำผึ้งแท้และมีคุณภาพดีจะดูอย่างไร มีวิธีมาบอก โดย หทัยพร ศิรินามารัตนะ แห่งภาควิชาเภสัชเวท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกไว้ว่า

น้ำผึ้งที่ดีควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลากข้างขวดน้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นของลำไย เป็นต้น น้ำผึ้งต้องมีความหนืด แม้ในอากาศร้อนหรืออุณหภูมิห้อง น้ำผึ้งที่ดีต้องมีสีอ่อนตามธรรมชาติที่ได้เก็บเกี่ยวมา ถ้าน้ำผึ้งมีสีเข้มมากจนดำ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งน้ำผึ้งที่เก็บมานานจะมีคุณประโยชน์ลดลงเรื่อย ๆ

ดังนั้นควรดูวันหมดอายุที่ข้างขวด แต่อาจเป็นข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรงนัก เพราะน้ำผึ้งอาจถูกเก็บไว้นานเป็นปีก่อนนำมาขาย น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่แยกชั้น ต้องอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้ในบางครั้งอาจพบน้ำผึ้งเกิดการตกผลึกได้เนื่องจากน้ำผึ้งที่ได้จากการ เลี้ยงด้วยดอกไม้ต่างชนิดกัน แต่น้ำผึ้งแท้ที่ตกผลึกนั้นจะมีผลึกเป็นแท่งเหลี่ยมแหลมเปราะบาง และถ้าน้ำผึ้งนั้นตกผลึกทั้งขวดจะมองเห็นสีผลึกเป็นสีเดียวกันทั้งขวดไม่เป็นสีเข้มปนสีอ่อนตกผลึกอยู่ที่ก้นขวด เหนือผลึกขึ้นมาเป็นของเหลวเป็นส่วนมากและสีของเหลวนั้นมักมีสีเข้มกว่าผลึกอย่างเห็นได้ชัด

เราจะเรียกน้ำผึ้งลักษณะนี้ว่า ผึ้งตกตะกอน และสามารถทดสอบน้ำผึ้งที่ตกตะกอนนี้ได้โดยการนำน้ำผึ้งมาแช่ตู้เย็นจะเห็น ได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น น้ำผึ้งต้องสะอาดไม่มีสิ่งเจือปนอื่น ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี ดูแล้วไม่น่าบริโภค ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลยก็อาจดูจากฉลาก บริษัทผู้ผลิตว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ ซึ่งเป็นแนวทางในการเลือกซื้อน้ำผึ้งได้

"น้ำผึ้ง" ที่ คนทั่วไปอาจมองแต่เพียงด้านเดียวคือให้คุณประโยชน์ในด้านความหวาน ต่อไปนี้คงได้เห็นถึงคุณค่าและรู้จักใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งให้มากยิ่งขึ้น

ขอบคุณ ข้อมูลดีๆ จาก http://dhammasatta.igetweb.com/index.php?mo=14&newsid=78435

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

มีเพื่อน..ไม่มีเหงา

มีคนบอกว่าคนบางประเภทไม่มีทางจะมีความเหงา ผมว่าไม่จริงหรอก ผมเชื่อว่าคนเราทุกคนย่อมมีมุมความทุกข์ของตัวเอง มีความเศร้าแฝงอยู่ในจิตใจ แม้กระทั่งดาราตลกก็ยังคงหนีไม่พ้นความความเศร้าที่แฝงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ เราจะเอาชนะมันได้ยังไง ก็คงต้องบอกว่าอย่าพยายามอยู่คนเดียว เพราะเมื่อใดที่เราต้องผจญกับความเหงา ความเศร้า..มันก็จะเข้าทักทาย

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

ก.ไอซีที จับมือ 5 หน่วยงาน บูรณาการเครือข่าย GIN กับระบบ GFMIS

นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network : GIN) กับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Government Fiscal Management Information System : GFMIS) ว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการบูรณาการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (GIN) กับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมที่ดิน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และสำนักงานสถิติแห่งชาติครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการที่จะร่วมกันผลักดันให้เกิดการนำระบบบริหารจัดการภาครัฐ (Back Office) มาใช้ประโยชน์ในเครือข่าย GIN อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด“ที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้ประยุกต์ใช้เครือข่าย GIN กับระบบงานภายใน โดยใช้รับส่งข้อมูลระหว่างต้นสังกัดกับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค อาทิ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับสำนักงานพัฒนาสังคมจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ทั้ง 18 เขต และวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมไปถึงสำนักงานสถิติแห่งชาติกับสำนักงานสถิติจังหวัดทั่วประเทศ เป็นต้น

โดยต่อมากระทรวงไอซีที กระทรวงการคลัง และกรมที่ดินได้ร่วมกันทดสอบนำส่งข้อมูลระบบบริหารการเงินการคลังแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ระหว่างศูนย์ข้อมูลของกระทรวงการคลัง และสำนักงานที่ดินจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อเดือนกันยายน 2552 โดยใช้เครือข่าย GIN เป็นเส้นทางเครือข่ายกลางภาครัฐในการรับส่งข้อมูล ซึ่งผลการทดสอบปรากฏว่าสามารถนำส่งข้อมูล และใช้ระบบ GFMIS รวมทั้งระบบงานอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดระยะเวลาในการส่งข้อมูลการเบิกจ่ายงบประมาณได้สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น” นายสือ กล่าว

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือของทั้ง 6 หน่วยงาน ที่ตระหนักถึงความสำคัญและมีความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะใช้ประโยชน์จากการบูรณาการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (GIN) กับระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ระหว่างหน่วยงานทั้งหมด จำนวน 319 หน่วยงาน และในอนาคตจะมีการ ขยายผลไปสู่หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายและเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนไปสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (GIN) นี้ เป็นแผนงานสำคัญของกระทรวงไอซีทีภายใต้แผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Roadmap) โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะดำเนินการเชื่อมโยงเครือข่าย GIN ให้ครอบคลุมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากบริการภาครัฐได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้

จากการดำเนินงานที่ผ่านมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2549 กระทรวง ฯได้ดำเนินการเชื่อมโยงเครือข่ายในส่วนกลางระดับกระทรวง กรม ให้เชื่อมต่อกับส่วนราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแล้ว รวมทั้งสิ้น 1,004 หน่วยงาน โดยมีหน่วยงานในส่วนภูมิภาคที่เชื่อมโยงเครือข่าย คือ 1) สำนักงานจังหวัด 2) สำนักงานสถิติจังหวัด 3) สำนักงานพาณิชย์จังหวัด 4) สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด 5) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 12 เขต 6) สำนักงานขนส่งจังหวัด 7) สำนักงานที่ดินจังหวัด 8) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 18 เขต และวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 9) สำนักงานประกันสังคมจังหวัด 10) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสาขาเขตพื้นที่ 13 สาขา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-1416747 ข้อมูลจาก ThaiPR.net -- อังคารที่ 23 มีนาคม 2553 15:59:00 น.
กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--ก.ไอซีที

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

Smart e-Nose

จมูกอิเล็กทรอนิกส์ Smart e-Nose


e-Nose จมูกอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมในการจับกลิ่นที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ได้ เนื่องจากกลิ่นของก๊าซบางชนิดทำให้เกิดการล้มเจ็บในโรงเลี้ยงสัตว์ ซึ่งผู้ประกอบการไม่สามารถทราบสาเหตุได้


ลักษณะการใช้งาน

ก๊าซที่เกิดขึ้นในโรงเลี้ยงสัตว์ เป็นก๊าซที่เป็นอันตรายต่อการเลี้ยงสัตว์ เช่น ในพื้นดินที่มีไนโตรเจนปะปนอยู่ไม่ว่าจะเป็นจากเศษอาหาร ขี้หมู เยี่ยวหมู เมื่อได้รับความชื้นในดินมากพอก็จะเกิดขบวนการแอมโมนิฟิเคชัน ทำให้ไนโตรเจนในสารอินทรีย์แตกตัวออกแล้วปล่อยแอมโมเนียออกมา สัตว์ที่สัมผัสก๊าซนี้อยู่เสมอจะเกิดการแพ้ระคายต่อเยื่ออ่อนต่างๆ เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ตา หู ปาก จมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทางเดินหายใจ ทำให้สัตว์เครียด อ่อนแอลง มีการแสดงออกคล้ายเป็นหวัดอ่อนๆ เช่น มีน้ำมูก น้ำตาไหล สัตว์จะถูกเชื้อโรคเข้าซ้ำเติมจนเป็นโรคต่างๆ ได้ง่าย ส่วนใหญ่สัตว์ปีกจะไวต่อก๊าซแอมโมเนียมาก ส่วนหมูจะได้รับผลกระทบจากก๊าซนี้เช่นกัน



สำหรับงานวิจัยนี้ได้นำจมูกอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้สายมาทำการวิเคราะห์สภาพภูมิอากาศ หรือสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นบริเวณฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีการส่งข้อมูลเป็นเครือข่ายทำให้ได้ข้อมูลของก๊าซในบริเวณต่างๆ ของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อเก็บข้อมูลสำหรับประมวลผลสภาพอากาศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ว่าสภาพอากาศนั้นเป็นสภาพอากาศดี สภาพอากาศพอใช้ หรือสภาพอากาศเสีย จากนั้นข้อมูลวิเคราะห์ขึ้นมาได้จะถูกเก็บในฐานข้อมูลเพื่อนำข้อมูลนั้นไปแก้ไขในเรื่องระบบสภาพฟาร์มเลี้ยงสัตว์ หรือมลภาวะที่เกิดจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ให้ได้ถูกต้องตามกระบวนการต่อไป

หลักการทำงาน

คุณสมบัติของเครื่องตรวจวัดก๊าซ

วัดก๊าซได้ 5 ชนิด Methane Ammonia Oxygen Hydrogen Sulfide Carbon dioxide
สามารถแสดงความชื้น อุณหภูมิ และเวลาในการวัด
แสดงผลผ่านหน้าจอ LCD
มีส่วนควบคุมการไหลของอากาศ
มีตัวกรองอากาศ สำหรับสร้างอากาศอ้างอิง
ส่งข้อมูลผ่านพอร์ตอนุกรม RS232
เชื่อมต่อระบบเครือข่ายด้วย Wireless Network
หลักการทำงานของเครื่องจะเริ่มจากส่วน Pneumatic ซึ่งจะมีปั้มลมทำหน้าที่นำอากาศจากภายนอกเข้ามาวัดอากาศ โดยอากาศจะถูกควบคุมทิศทางด้วยโนลินอยวาล์ว (Solenoid Vale) เพื่อนำอากาศนั้นมาเปรียบเทียบกับอากาศอ้างอิง โดยอากาศที่ถูกควบคุมทิศทางการไหลจะเข้ามายังส่วนของก๊าซเซ็นเซอร์อาเรย์ เพื่อทำการทดสอบโดยข้อมูลที่ได้จะอยู่ในรูปสัญญาณแอนะล็อก ดังนั้นจึงต้องผ่านกระบวนการแปลงสัญญาณให้อยู่ในรูปแบบดิจทัลสำหรับส่งข้อมูลผ่านระบบ Wireless Network ให้กับคอมพิวเตอร์กลางเพื่อทำการวิเคราะห์สภาพอากาศ และเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลต่อไป

เชิญชม ตัวอย่างได้ที่ งานประชุมวิชาการ สวทช. ประจำปี 2553

โดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์
ข้อมูลจาก nectec

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

ขอบคุณ ดร.ยงยุทธ ยะบุญธง

จบวิชาที่ 3 ไปแล้ว ก็เร็วดีเหมือนกัน สอบเมื่อวานไม่รู้ว่าจะตอบตรงใจอาจารย์หรือเปล่า ไม่สามารถเอาความรู้ออกมาอธิบายได้อย่างที่ใจต้องการ แต่รู้ว่าวิชานี้ทำให้รู้อะไรที่เป็นโลกกว้างเพิ่มมากขึ้น ต้องขอบคุณ ดร.ยงยุทธ ยะบุญธง ที่เปิดโลกทัศน์ให้ผม รวมถึงคนอื่นๆหลายๆคน คงได้รับความรู้ใหม่ๆเพิ่มเติมมาอีกเยอะ อย่างน้อยๆ ก็ blog นี้แหละ ซึ่งผมขอให้สัญญาว่าจะทำให้ดีๆๆๆขึ้นเรื่อยๆ blog นี้ทำขึ้นหลังจากที่ ดร.ยงยุทธ แนะนำในชั่วโมงแรกของการเรียนการสอนไม่กี่นาที ก็หลังจากที่เข้าไปอ่าน blog ของ ดร. เสร็จก็ลยเลย ความรู้ที่ได้แม้จะประเมินออกมาแล้วคะแนนจะไม่ถึง A แต่ผมรู้ว่าความรู้ที่ได้มันเกิน A แล้วครับ จะเป็นไรไป B+ มา 2 วิชาซ้อนแล้วนี่

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

อีโคคาร์

ไม่ได้เชียร์นะครับ แต่เห็นว่าราคาที่เปิดตัวมาพอใช้ได้เลย ใครที่คิดว่าจะซื้อรถให้ลูกสักคัน ผมว่าลองไปดูนะครับ ส่วนถ้าใครสนใจ เชพโลเลต ทุกรุ่น อยากมีส่วนลดหลายๆหมื่นบาท ติดต่อส่วนตัวได้ครับ

ข่าวในประเทศ - นับถอยหลังอีกเพียงกว่า 3 เดือน สิทธิประโยชน์ให้กับ "อีโคคาร์" จะเริ่มมีผลเป็นทางการ แต่เมื่อสำรวจความพร้อมของค่ายรถกลับเงียบสนิท แม้แต่ "ฮอนด้า" ที่ประกาศตัวพร้อมสุด และจะเปิดตัวรถได้ในปลายปี 2552-2553 ก็เกิดอาการคล้ายโรคเลื่อน ถึงจะยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ก็ยอมรับจะไม่ใช่ค่ายแรกแน่นอน เช่นเดียวกับยี่ห้ออื่นๆ ที่มีแผนผลิตในปี 2553 ต่างเลื่อนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น "ซูซูกิ-ทาทา" ยิ่งไม่ต้องพูดถึง "โตโยต้า-มิตซูบิชิ" ที่มีความพร้อมน้อยที่สุด งานนี้นอกจากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจโลก จนเป็นช่องให้เกือบทั้งหมดจับมือเตรียมเจรจากับรัฐบาล ขอลดเงื่อนไขการลงทุน 2 ประเด็น คือ กำลังการผลิต 1 แสนคัน ในปีที่ 5 เป็นต้นไป และเงินลงทุน 5,000 ล้านบาท รวมถึงเปลี่ยนจากตั้งโรงงานใหม่ เป็นเพียงลงทุนเครื่องจักรใหม่เท่านั้น โดยต่างจะรอการเจรจาก่อน จึงจะกลับมาดูแผนผลิตอีโคคาร์อีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขึ้นไลน์ผลิตในปี 2554 โน้น ส่วนค่าย "นิสสัน" จะเดินหน้าลุยเดี่ยว เปิดตัวทำตลาดแน่ในปี 2553 เพราะเป็นนโยบายบริษัทแม่ ที่ย้ายฐานการผลิตรถเล็กจากญี่ปุ่นมาไทยอยู่แล้ว ฉะนั้นผลการเจรจาเป็นอย่างไร นิสสันมีแต่ได้อย่างเดียว



นิสสัน มาร์ช


1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นไป จะเริ่มให้สิทธิประโยชน์รถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ "อีโคคาร์" ซึ่งมีบริษัทรถยนต์ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ 6 รายได้ ได้แก่ ฮอนด้า, นิสสัน, ซูซูกิ, ทาทา, มิตซูบิชิ และโตโยต้า รวมมูลค่าลงทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท ฉะนั้นหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานของแต่ละยี่ห้อ ปลายปีนี้น่าจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักของอีโคคาร์ หรืออาจจะถึงกับมีการเผยโฉมให้เห็นกันบ้างแล้ว ก่อนลุยตลาดแย่งชิงยอดขายกันอย่างดุเดือดในปี 2553 เป็นต้นไป





แน่นอนจากข่าวคราวก่อนหน้านี้ "ฮอนด้า" ถือว่าเป็นค่ายที่มีความพร้อมมากที่สุด จากนโยบายใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดโครงการอีโคคาร์ในไทย จึงเข้าทางฮอนด้าแบบเต็มๆ จึงไม่แปลกที่ฮอนด้าจะยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเป็นรายแรก ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 6,700 ล้านบาท และงานนี้ผู้บริหารของเอเชี่ยน ฮอนด้า มอเตอร์ สำนักงานใหญ่ของฮอนด้าประจำภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ถึงกับประกาศว่าจะผลิตรถออกมาในช่วงปี 2552-2553

หากดูเวลา ณ ช่วงนั้น นั่นก็หมายความว่า... ฮอนด้าจะเป็นรายแรก ที่ผลิตรถอีโคคาร์ออกมา!

ส่วนค่ายอื่นๆ ที่ประกาศพร้อมลุย ไม่ว่าจะเป็น "ซูซูกิ" ซึ่งได้ตกลงซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเหมราช อีสเทิร์นซีบอร์ด เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์อีโคคาร์ มูลค่าลงทั้งหมด 9,500 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าจะเริ่มผลิตในปี 2553 เช่นเดียวกับ "นิสสัน" และ "ทาทา" ขณะที่โตโยต้าและมิตซูบิชิน่าจะเป็นปีถัดไปประมาณปี 2554-2555





แต่ในความเป็นจริง ณ วันนี้ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงกว่า 3 เดือน ที่จะเริ่มให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับรถยนต์อีโคคาร์ กลับแทบจะไม่มีข่าวคราวความคืบหน้าดังกล่าวเลย ยกเว้นค่าย "นิสสัน" ที่ชัดเจนว่า... จะเปิดตัวอีโคคาร์สู่ตลาดในปี 2553 นี้

"ฮอนด้ายืนยันว่าทุกอย่างยังเป็นไปตามแผน แต่ยังไม่สามารถบอกกำหนดเปิดตัวแน่นอนได้ ส่วนการเปิดตัวสู่ตลาดเป็นรายแรกคงไม่ใช่ และก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญด้วย เพราะอยู่ที่ว่าสินค้าใครจะถูกใจลูกค้ามากกว่า และฮอนด้ามีความมั่นใจสินค้าจะสามารถตอบสนองลูกค้าได้"





นั่นคือให้การสัมภาษณ์สื่อมวลชนล่าสุดของ "อาซึชิ ฟูจิโมโตะ" ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ชัดเจนว่า... ฮอนด้าจะไม่ใช่รายแรกที่เปิดตัวอีโคคาร์สู่ตลาด และแม้จะยืนยันทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่จากกระแสข่าวที่ออกมา โครงการอีโคคาร์ของฮอนด้าน่าจะเลื่อนไปเป็นปี 2554

ส่วนค่ายที่เคยประกาศความพร้อมอย่างซูซูกิ ได้มีรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์นิเคอิ ถึงการเลื่อนแผนการสร้างโรงงานในไทย และเรื่องนี้ "สิทธิศักดิ์ เกสรวิบูลย์" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ยอมรับว่า...

"การเลื่อนแผนตั้งโรงงานในไทย เป็นไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัวลง แต่ซูซูกิไม่ได้ยกเลิกโครงอีโคคาร์ในไทย เพราะบริษัทแม่มีความต้องการลงทุนในไทย โดยได้จัดซื้อที่ดินรองรับไว้แล้ว หากเป็นไปตามแผนขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนก่อสร้างโรงงาน เพียงแต่สถานการณ์ต่างๆ ไม่เอื้ออำนวย จึงต้องชะลอแผนไปก่อน"





เมื่อเป็นเช่นนี้อีโคคาร์ของซูซูกิน่าจะเปิดตัวได้ในปี 2554 เป็นอย่างเร็ว เช่นเดียวกับค่าย "ทาทา" ที่เดิมกำหนดจะขึ้นไลน์ผลิตในช่วงปลายปี 2553 แต่จากข่าวคราวล่าสุดก็เลื่อนออกไปในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ส่วนโตโยต้าและมิตซูบิชิที่ไม่ได้มีความพร้อมในโครงการอีโคคาร์มากที่สุด แน่นอนการที่คู่แข่งเลื่อนแผนเปิดตัวออกไปจึงเป็นผลดีกับทั้งสองยี่ห้อ มากกว่า

การเลื่อนเปิดตัวอีโคคาร์ของค่ายรถเกือบทั้งหมด สิ่งที่อ้างได้มาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จนทำให้ตลาดรถยนต์หดตัวลงอย่างมาก จึงเป็นจังหวะไม่เหมาะสมที่จะลงทุนโครงการขนาดใหญ่ และที่สำคัญเงื่อนไขการลงทุนของอีโคคาร์ นับว่าเป็นอุปสรรคอย่างมากในการลงทุนสภาวะเช่นนี้

"สภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ จนส่งผลกระทบทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรถยนต์ที่ยอดขายและส่งออกตกลงมาก ทำให้บริษัทรถยนต์ที่ยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนผลิตอีโคคาร์ชะลอแผนออกไป เพราะจะเป็นความเสี่ยงมากหากจะลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ในสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย และอาจจะส่งผลต่อการดำเนินในอนาคตได้"

เป็นคำกล่าวของแหล่งข่าวจากหนึ่งในบริษัท ที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนโครงการอีโคคาร์จากบีโอไอ และเดิมมีแผนจะเปิดตัวรถสู่ตลาดในปี 2553 เช่นกัน พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยกับ "ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง" ว่า... "ปัญหา สำคัญอีกอย่างที่เรามองเห็นในทิศทางเดียวกัน คือ เงื่อนไขการลงทุนในการรับสิทธิประโยชน์ของโครงการอีโคคาร์ ไม่เอื้ออำนวยกับสภาวะปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของการผลิตรถยนต์ 1 แสนคันขึ้นไปในปีที่ 5 และมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท"

"เหตุนี้จึงมีการคุยกัน ว่า จะเข้าไปคุยกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอปรับเงื่อนไขการลงทุนดังกล่าวลง เพราะสภาวะเช่นนี้การผลิตรถยนต์โมเดลหนึ่งให้ได้ 1 แสนคันเป็นเรื่องยากมาก และปัจจุบันบริษัทรถยนต์เกือบทั้งหมดล้วนประสบปัญหาสภาพคล่อง เงินลงทุนในการตั้งโรงงานใหม่ จึงเป็นปัญหาพอสมควร เหตุนี้ทางค่ายรถจึงต้องการลดวงเงินลงทุนลง และอาจจะไม่ตั้งโรงงานแห่งใหม่ โดยนำเครื่องจักรใหม่มาตั้งในโรงงานที่มีปัจจุบันแทนจะได้หรือไม่"

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า... "นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ค่ายรถส่วนใหญ่เลื่อนแผนลงทุนและผลิตออกไปก่อน ส่วนที่ค่ายนิสสันยังสามารถดำเนินการตามแผนได้ เพราะเป็นนโยบายของบริษัทใหม่ นิสสัน มอเตอร์ ที่ได้มีการย้ายฐานการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กมาไทยอยู่แล้ว จึงต้องลงทุนและผลิตรถออกมาทำตลาดและส่งออก แทนโรงงานที่ญี่ปุ่น ดังนั้นไม่ว่าโครงการอีโคคาร์จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ นิสสันก็มีแต่เสมอตัวกับได้ประโยชน์เท่านั้น"

จากความเคลื่อนไหวทั้งหมด อีโคคาร์ของค่ายรถที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่ ไม่น่าจะเกิดได้ในปี 2552-2553 นี้ ยกเว้น "นิสสัน" ค่ายเดียวที่ประกาศเดินหน้าตามแผนเช่นเดิม จากการเปิดเผยของ "โทรุ ฮาเซกาวา" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

"อีโคคาร์เป็นรถเล็กราคาประหยัด ที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดรถยนต์ในประเทศให้มีความคึกคัก ในส่วนของบริษัทยืนยันว่าจะมีรถทำตลาดในปีหน้า และจากนั้นจะมีหลายค่ายทยอยเปิดตัวทำตลาดซึ่งระยะเวลาจะเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่คาดว่า ภายใน 3-4 ปี อีโคคาร์จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคชาวไทย และเป็นตลาดใหญ่ด้วยยอดขาย 1.0-1.5 แสน

ทั้งนี้จากรายงานข่าว นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงทุนในประเทศไทย เพื่อยกฐานะให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็ก "นิสสัน มาร์ช" (Nissan March) โมเดลใหม่ ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 เพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น และอาเซียน โดยอีโคคาร์จะใช้พื้นฐานโครงสร้างตัวถังของมาร์ชในการพัฒนา ส่วนจะใช้ชื่ออะไรยังไม่ชัดเจนในขณะนี้

สำหรับจุดขายอีโคคาร์ของนิสสัน จะเน้นที่เรื่องของราคาประหยัด สมถรรนะเยี่ยม และมีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน โดยเครื่องยนต์จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งว่ากันว่ามีอัตราสิ้นเปลืองต่ำมาก อาจจะถึง 25 กิโลเมตรต่อลิตร ฉะนั้นอัตราสิ้นเปลือง 20 กิโลเมตรต่อลิตร ตามเงื่อนไขอีโคคาร์จึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด

ดังนั้นผู้ที่เฝ้ารอคอยอีโคคาร์ คงไม่ถึงกับเป็นแม่สายบัวรอเก้อ เพราะ ณ เวลานี้ยังมีอีโคคาร์"นิสสัน" ที่มาตามนัด ถึงจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่เปิดตัวนำร่องไปก่อนก็ตาม แต่หากใครยังยึดติดกับแบรนด์ หรือต้องการมีทางเลือกที่หลากหลาย คงต้องเก็บตังค์รอต่อไปจนถึงปี 2554 โน้น!

ข้อมูลข่าวจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์